Highlights
- Hug Fai Hug D มีช่องทางการขายบนตลาดขายสินค้าออนไลน์ที่ Pinkoi ที่เดียวเท่านั้น
- ได้รับออเดอร์แรกตั้งแต่เดือนแรกที่เปิดสตูดิโอบน Pinkoi
- Hug Fai Hug D เข้าร่วมทุกกิจกรรมของ Pinkoi เช่น Webinar, สมัครเข้าร่วมแคมเปญ ฯลฯ
- Communication is the key คือเคล็ดลับที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ Hug Fai Hug D
ชื่อของ Hug Fai Hug D สะดุดตาพวกเราทีมงานชาว Pinkoi ในการเล่นคำอย่างน่ารัก และเมื่อเข้าไปดูสตูดิโอของ Hug Fai Hug D บน Pinkoi ก็พบว่าแม้ในปัจจุบันนี้จะมีแบรนด์ที่ทำเสื้อผ้าย้อมครามออกมามาก แต่ Hug Fai Hug D มีอะไร “บางอย่าง” ที่ทำให้แตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ และเมื่อเดือนมิถุนาคมที่ผ่านมา เราได้รับข่าวดีจากทีม Pinkoi ฮ่องกงว่า Hug Fai Hug D ที่ได้เข้าร่วม Weekly Flash Sale ในพื้นที่ฮ่องกง ระหว่างวันที่ 3 – 5 มิ.ย. นั้นได้รับกระแสต้อนรับดีจากสาวๆฮ่องกง จนผลิตสินค้าแทบไม่ทัน ทีมงาน Pinkoi จึงขอเวลา คุณบี – พิมลพรรณ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ Hug Fai Hug D มาพูดคุยกัน เผื่อจะค้นพบว่าอะไร “บางอย่าง” ที่ว่านั้นจะเป็นความลับที่ทำให้ Hug fai Hug D กุมใจสาวๆฮ่องกงในขณะนี้
ด้วยรักและอ้อมกอดจากบ้านเกิด
ชื่อแบรนด์ Hug Fai Hug D เกิดจากการเล่นคำภาษากำเมืองหรือภาษาเหนือ “ฮัก” ที่แปลว่า “รัก” กับคำว่า “Hug” ในภาษาอังกฤษที่แปลว่ากอด จนออกมาแปลว่า รักผ้าฝ้าย รักดี เพราะอยากส่งต่อสิ่งดีๆ เป็นความหมายที่ดี
บ้านเกิดของคุณบีอยู่ที่จังหวัดแพร่ มีหมู่บ้านย้อมผ้าม่อฮ่อมและงานผ้าสวยๆจำนวนมาก และตัวคุณบีเองก็ชอบผ้าพื้นเมืองผ้าฝ้าย คุณบีจึงเกิดความคิดอยากนำเสนอผ้าพื้นเมืองไปสู่ตลาดต่างประเทศ เพราะจังหวัดแพร่ไม่ใช่จุดหมายหลักของนักท่องเที่ยวต่างชาติ คนในหมู่บ้านจึงต้องไปออกบูธตามเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ อย่างเชียงใหม่บ้าง เข้าร่วมงานจัดแสดงสินค้าของรัฐบาลบ้าง แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผ้าพื้นเมืองได้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเท่าที่ควร
คุณบีสังเกตว่าผ้าพื้นเมืองนี้ได้รับความนิยมอย่างมาจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินมาทางยังประเทศไทยในช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 และตัวคุณบีเองสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นอย่างดี จึงเกิดความคิดว่า อยากใช้ภาษาอังกฤษเป็นตัวกลางพาสินค้าของบ้านเกิดไปสู่ลูกค้าในตลาดต่างประเทศให้ได้
ใครใคร่คราม
เมื่อพูดถึงงานผ้าพื้นเมือง เช่น ผ้ามัดย้อม ผ้าคราม ผ้าฝ้าย อาจจะไม่ใช่สินค้าแฟชั่นที่สาวไทยนิยมเท่าใดนัก แต่ถ้าหากได้มีโอกาสเดินทางไปยังไต้หวัน, ฮ่องกงมาเก๊า และญี่ปุ่น ผ้าครามหรือ Indigo คือสินค้าราคาแพงที่มีราคาหลายพันบาท เพราะพวกเขามองเห็นว่า การทำผ้าย้อมครามนั้นคืองานทำมือและอาศัยภูมิปัญญา จึงเป็นราคาที่ลูกค้ากลุ่มนี้ยอมจ่าย เพราะนี่ไม่ใช่เสื้อผ้าที่มีเพียงเพื่อสวมใส่เท่านั้น แต่คืองานดีไซน์ที่มีเพียงตัวเดียว เพราะต่อให้ใช้วิธีการทำเหมือนกัน แต่ลายละเอียดเล็กๆทั้งสีและการมัดย้อมก็ไม่ได้ผลออกมาเหมือนกันทุกตัว 100% จึงเป็นประสบการณ์การสวมใส่ที่เสื้อผ้าในโรงงานอุตสาหกรรมไม่สามารถมอบให้ได้
คุณบีได้ทำการบ้านศึกษากลุ่มลูกค้าต่างประเทศมาพอสมควร จนสรุปได้ว่ากลุ่มลูกค้าของ Hug Fai Hug D เป็นสาววัยทำงาน อายุประมาณ 20 ปลายๆ เป็นชุดที่สามารถสวมใส่ไปทำงานได้และใส่ได้ในชีวิตประจำวันในวันหยุด เสื้อผ้าของ Hug Fai Hug D จึงมีความทันสมัย แม้เป็นลายมัดย้อมก็มีการออกแบบที่ไม่ได้ดั้งเดิมจนเกินไป มีการนำลายปักดอกไม้ เช่น ดอกเดซี่ ที่คนทุกชาติคุ้นเคยมาเพิ่มความสดใส และเน้นตัดสีพื้นผ้าธรรมชาติให้ดูโดดเด่น ดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์นี้ได้รับความนิยมอย่างมากในลูกค้าเอเชีย โดยเฉพาะพื้นที่ฮ่องกงที่คุณบีบอกว่าเป็นกลุ่มลูกค้าหลักของ Hug Fai Hug D
จากแพร่สู่ความนิยมอย่างแพร่หลาย
ดีไซเนอร์ไทยส่วนใหญ่บน Pinkoi มักเป็นดีไซเนอร์ที่มีกลุ่มลูกค้าตลาดไทยอยู่จำนวนหนึ่งแล้วจึงค่อยขยายตลาดไปยังต่างประเทศ โดยมี Pinkoi เป็นสื่อกลาง ดังนั้นทีมงาน Pinkoi จึงประหลาดใจมากที่พบว่า Hug Fai Hug D ตั้งใจมาเปิดสตูดิโอบน Pinkoi ตั้งแต่เริ่มแรกของการทำแบรนด์
คุณบีเล่าให้ฟังว่า ก่อนหน้านี้ได้พยายามลงขายสินค้าในแพลตฟอร์มออนไลน์อื่นๆ แม้จะพยายามลงสินค้าอยู่บ่อยๆ แต่ก็พบว่าแพลตฟอร์มนั้นเน้นแข่งขันกันที่ราคามากกว่าจะให้ความสำคัญกับงานดีไซน์ แม้ว่าสินค้าของ Hug Fai Hug D นั้นจะตัดเย็บดีเพียงใด มีหีบห่อบรรจุภัณฑ์ที่ปราณีตแค่ไหน ก็ไม่ได้รับความสนใจจากลูกค้าเท่าที่ควร คุณบีค้นพบว่าสินค้าของตนอาจจะไม่เหมาะกับแพลตฟอร์มออนไลน์นั้น ประกอบกับได้ยินชื่อ Pinkoi จากใน Youtube เมื่อหารายละเอียดเพิ่มเติมก็พบว่าเป็นช่องทางการขายที่น่าสนใจ และตัวคุณบีเองก็ตั้งใจที่พา Hug Fai Hug D ไปยังตลาดต่างประเทศตั้งแต่แรกอยู่แล้ว จึงตัดสินใจเปิดสตูดิโอบน Pinkoi
หลังจากที่เปิดสตูดิโอ Hug Fai Hug D บน Pinkoi ในเดือนพฤศจิกายน 2021 ก็สามารถขายสินค้าชิ้นแรกได้ตั้งแต่เดือนแรก โดยลูกค้าคนแรกเป็นชาวไต้หวัน และขายได้เดือนละ 1 ชิ้นมาจนกระทั่งเดือนที่ 4 ที่เริ่มมีออเดอร์เข้ามามากขึ้นจนติดตลาด
เคล็ดลับขายดีฉบับ Hug Fai Hug D
แต่การที่จะได้ออเดอร์แรกมาตั้งแต่เดือนแรกที่เปิดขายจนมาถึงวันนี้ที่แบรนด์ Hug Fai Hug D ครองใจลูกค้าต่างประเทศบน Pinkoi นั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย และนี่เป็นเคล็ดลับที่คุณบีเต็มใจนำมาแชร์เพื่อให้ดีไซเนอร์บน Pinkoi ได้นำไปปรับใช้กับสตูดิโอของตัวเอง
- ลงสินค้ามากกว่า 10 รายการ อยากให้จินตนาการว่า หน้าสตูดิโอ Pinkoi คือหน้าร้านในโลกความเป็นจริง หากลงสินค้าเพียงแค่ 1-2 ชิ้น ลูกค้าก็จะพิจารณาสินค้าแค่ 1-2 ชิ้น แล้วเดินออกจากร้านไปในไม่กี่นาที แต่ถ้าหากมีจำนวนรายการสินค้าในสตูดิโอมากเท่าใด เวลาที่ลูกค้าจะใช้สำรวจสินค้าในร้านก็จะมีมากขึ้น โอกาสที่ลูกค้าจะสั่งซื้อก็มีเพิ่มขึ้น
- เข้าฟัง Webinar ที่ทีมงาน Pinkoi จัดขึ้น เพื่ออัพเดทและเครื่องมือการใช้งานบนเว็บไซต์
- สมัครเข้าแคมเปญของ Pinkoi เพราะทีมงานจะช่วยทำการตลาดให้ ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสตูดิโอได้มากขึ้น เช่น แคมเปญที่มีเงื่อนไขโปรโมชั่นส่งฟรี จะได้ออเดอร์เยอะมากขึ้น เพราะลูกค้าทุกชาติชอบส่งฟรี
- เปิดใช้เครื่องมือโฆษณา เพื่อโฆษณาให้ลูกค้ารู้จักร้านเพื่อมาติดตามสตูดิโอ เหมาะสำหรับสตูดิโอที่ลงขายสินค้ามาเป็นระยะเวลา 2-3 เดือนแล้ว
- ติดต่อลูกค้าสม่ำเสมอ ไม่รอให้ลูกค้ามีคำถาม แต่เป็นฝ่ายติดต่อลูกค้าไปเอง ถ้าเกินระยะเวลา 3 วันแล้วยังไม่ได้จัดส่งสินค้า ต้องส่งข้อความแจ้งลูกค้าเลยว่าจะสามารถจัดส่งได้วันไหน คุณบีได้ใช้ประสบการณ์ที่เคยทำงาน customer service มาประยุกต์ใช้โดยมีหลักการว่า ลูกค้าต้องได้ยินเสียงของเราเสมอ ลูกค้าต้องทราบว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้ามากกว่าที่ลูกค้าคาดหวัง
- ตอบข้อความลูกค้าเร็วและบ่อยครั้ง อย่าทิ้งร้างข้อความ การใช้ Pinkoi APP เช็กข้อความจากลูกค้าได้สะดวกโดยที่ไม่ต้องอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้กล่องข้อความบน Pinkoi ปรับปรุงใหม่แล้ว สามารถดูได้ว่าลูกค้าที่ส่งข้อความมา มาจากออเดอร์ไหน เห็นรูปภาพสะดวกมากขึ้น
- คุณบีจะเขียนการ์ด Thank you ด้วยลายมือตัวเองให้ลูกค้าทุกครั้งจนเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้า สัมผัสได้ถึงความใส่ใจ แม้จะมีเป็น 100 ออเดอร์ก็จะเขียนด้วยลายมือของตัวเองหมด แม้ลูกค้าจะสั่งมาแค่ 1 ชิ้น ก็จะเขียนขอบคุณทุกครั้ง
ถึงจะขายดีจนสินค้าหมดสตอค แต่ก็ไม่มีลูกค้าคนไหนยกเลิกออเดอร์สักคน
คุณบีเล่าประสบการณ์การเข้า Weekly Flash Sale ในฮ่องกงให้ฟังว่า Flash Sale นั้นมีระยะเวลา 3 วัน ในวันที่ 1-2 พอมีออเดอร์เข้ามาบ้างก็รู้สึกดีใจแล้ว แต่ในคืนวันที่ 3 มีแจ้งเตือนออเดอร์เข้ามาถี่ๆ จนต้องปิดการแจ้งเตือน ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้หลับไม่ได้นอน คุณบีกล่าวอย่างติดตลกว่า ขายของออนไลน์มันดียังงี้นี่เอง นอนหลับอยู่ก็มีออเดอร์เข้ามาเรื่อยๆ เมื่อตื่นมาเช็กยอดออเดอร์ สินค้าบางตัวก็หมดสตอค จึงรีบส่งข้อความแจ้งลูกค้าว่าจะสามารถจัดส่งได้วันไหน ส่งสินค้าออกไปช้าเพราะอะไร เนื่องจากเป็นสินค้าแฮนด์เมดที่ต้องอาศัยแดดและเวลาในการย้อมผ้า ลูกค้าจึงเข้าใจและไม่มีใครต่อว่าอะไร เต็มใจที่รอคอย
ทีมงาน Pinkoi มีส่วนช่วยอย่างไรบ้าง
ช่วยมากกกกกก (คุณบีลากเสียงแบบนี้จริงๆ ทีมงาน Pinkoi ไม่ได้เขียนเข้าข้างตัวเองแต่อย่างใด) อย่าง Webinar ที่จัดขึ้น มีแนะนำเรื่องเทรนด์, keyword ก็เอาไปใส่ใน tag ให้คนมาเสิร์ซเจอ เพราะคุณบีเองไม่มั่นใจว่าถ้าไปหาเอาเองใน google translate จะถูกมั้ย อยากแนะนำให้ดีไซเนอร์เข้าไปฟัง Webinar มันจะช่วยทำให้สตูดิโอบน Pinkoi ดีขึ้นแน่นอน เป็นอาหารสมองที่หาที่ไหนไม่ได้ มั่นใจว่าทีมงาน Pinkoi จะมีทริคอะไรใหม่ๆมาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ
นอกจากนี้มี Line OA ที่มีคำตอบอัตโนมัติ ที่สามารถเอาไปตอบลูกค้า ช่วยตอบคำถามของดีไซเนอร์ อย่างน้อยก็มีคำตอบของคำถามเบสิคที่ดีไซเนอร์มือใหม่น่าจะเจอกันบ่อยๆ ได้คำตอบรวดเร็วเอาไว้ไปจัดการได้ทันท่วงที Pinkoi เป็นแพลตฟอร์มที่ดี สนับสนุนสินค้าดีไซน์อย่างแท้จริง ไม่ใช่เน้นการแข่งขันเรื่องราคา และยังเป็น Community ที่ดีไซเนอร์สามารถมาช่วยกันแนะนำหรือแก้ปัญหาไปด้วยกันได้
คุณบียังฝากอีกว่า หวังว่า Pinkoi จะจัดงาน Outdoor Market ในเร็วๆนี้ แม้ว่าจะจัดงานที่ไหน ก็จะขอเข้าร่วมด้วยทุกงาน
นอกจากพูดคุยกับฝั่งดีไซเนอร์แล้ว ทีมงาน Pinkoi ประเทศไทยยังได้มีโอกาสพูดคุยกับทีมงาน Pinkoi ฮ่องกงว่า อะไรคือปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้ Hug Fai Hug D ประสบความสำเร็จในตลาดฮ่องกงได้ในขณะนี้ จึงได้คำตอบว่า
สินค้าของ Hug Fai Hug D อยู่ในช่วงราคาที่เหมาะสมสำหรับชาวฮ่องกง สไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์แบบที่ไม่ค่อยพบเห็นในแบรนด์ฮ่องกง เช่น เสื้อทรงคอสี่เหลี่ยม ,มีสินค้าที่หลากหลายเช่น เดรส เสื้อ กางเกง ประกอบกับเทรนด์ย้อมครามหรือ indigo ได้รับความนิยมมาประมาณ 2-3 ปี และจะได้รับความนิยมในช่วง 2-3 เดือนของฤดูร้อน (ประมาณ กรกฎาคม – กันยายน) เป็นเทรนด์ที่จะมาเป็นประจำในทุกหน้าร้อน
นอกจากนี้คำว่า Made in Thailand ยังคงเป็นสิ่งที่ดึงดูดลูกค้าฮ่องกงได้เสมอ เพราะราคาสมเหตุสมผลไปกันได้กับคุณภาพ เมื่อก่อนเมื่อนึกถึงแบรนด์ที่ราคาดี ลูกค้าฮ่องกงจะคิดถึงสินค้าจีน แต่ด้วยสถานการณ์การเมืองระหว่างจีนกับฮ่องกง ลูกค้าฮ่องกงจึงเปลี่ยนมาซื้อสินค้าไทยแทน จึงกลายเป็นข้อได้เปรียบของดีไซเนอร์ไทยในเวลานี้ นอกจากเสื้อผ้าย้อมครามจะได้รับความนิยมแล้ว ชุดว่ายน้ำ, กระเป๋าใส่มือถือ และหมวกก็เป็นสินค้าที่กำลังฮิตในตลาดฮ่องกงในช่วงนี้
หลังจากได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณบี – พิมลพรรณ เราจึงไม่แปลกใจแล้วว่าทำไม Hug Fai Hug D จึงเป็น หนึ่งในแบรนด์ที่ครองใจตลาดต่างประเทศ อะไร “บางอย่าง” ที่เรารู้สึกจากการเข้าชมสตูดิโอ Hug Fai Hug D คงจะเป็นความรักในผ้าพื้นเมืองของจังหวัดบ้านเกิด, ความเอาใจใส่ลูกค้า และความพยายามที่จะพัฒนาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพื่อให้แบรนด์เติบโตขึ้นได้ในทุกๆวัน
ทีมงาน Pinkoi Thailand
อ่านบทความอื่นที่เกี่ยวข้อง
เมื่อแบรนด์ไทยอยากขายของออนไลน์ไปต่างประเทศ บุกตลาดเอเชีย …ลุยไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ต้องมีอะไรบ้าง?
7 สิ่งสำคัญในการขายของออนไลน์ไปต่างประเทศสำหรับผู้สร้างแบรนด์ พ่อค้าและแม่ค้ามือใหม่