สุภาษิตไทยเค้าว่า เพื่อนกินหาง่ายเพื่อนตายหายาก แต่สำหรับเราเพื่อนเที่ยวท่ีถูกใจน่ะแหละที่หายากที่สุดแล้ว เราถึงตัดสินใจไปค่ายอาสาที่ได้ทั้งเที่ยวทั้งช่วยคนอื่น และอยู่ในงบที่จำกัดแต่ไม่รู้ด้วยความบังเอิญที่เพื่อนเห็น Nontification กิจกรรม ที่เราจะไปเด้งขึ้นมาเลยชักชวนกันให้ไปเที่ยวกันเองจากค่ายอาสาก็กลายเป็นค่ายฮาฮาไปซะได้
เราจำวันศุกร์ที่ต้องออกเดินทางวันนั้นได้ดี ด้วยความที่ต้องรีบเด้งตัวจากออฟฟิศ พักงานทุกๆอย่างทิ้งไว้ (แล้วค่อยกลับมาทำทีหลัง) มุ่งหน้าเพื่อไปขึ้นรถทัวร์ที่จองไว้ จุดมุ่งหมายของ เราในครั้งนี้คือ “แม่ลาน้อย” จังหวัดแม่ฮ่องสอน เราไม่ได้รู้จักหรือสนิทกับสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้มากนัก เพราะเรามัวแต่ยุ่งอยู่กับงาน ท่องเที่ยวในเมืองจนไม่มีเวลาหาข้อมูล ภาพในหัว ของเราคือภาพทุ่งนาขั้นบันไดสีเขียวเข้มอ่อน สลับไล่กันเป็นระดับ คงต้องไปลุ้นข้างหน้าว่าจะเป็นเหมือนที่คิดไว้มั้ย
รถของเราค่อยๆเคลื่อนออกจากสถานีขนส่งอย่างช้าๆ เคลื่อนไปตามถนนท่ามกลางรถคันน้อยใหญ่ การเดินทางของเราค่อยๆออกจากเมืองใหญ่ ผ่านเนิน ผ่านเขา ผ่านโค้ง ถ้าให้นับหรือยืมนิ้วเพื่อนมานับก็ยังนับไม่หมด จนเวลาล่วงเลยเราเริ่มพ่ายแพ้ให้กับความง่วงเข้าสู่โหมดการพักผ่อน นั่งบ้าง นอนบ้าง หลังจากที่ได้ฝากความหวังไว้กับคนเดินรถว่าเมื่อถึงปลายทางให้ส่งสัญญาณบอกเราด้วย ด้วยไหวพริบที่เรามีผสมกับความเฉยเมยของคนเดินรถที่ทำให้เราต้องถึงจุดหมายแบบไม่ทันตั้งตัว จนแทบจะกระโดดลงจากรถไม่ทัน นับเป็นการเริ่มต้นที่ดี เป็นการส่งสัญญาณว่าการเดินทางในคราวนี้ต้องสนุกแน่นอน!
เดินทางถึงที่พัก
ถึงที่พักของเราด้วยการต้อนรับอย่างดี จากพี่ๆเจ้าของสถานที่ทีเรามาฝากตัวและหัวใจไว้ 3 วัน 2 คืนท่ีเฮินไตรีสอร์ทบรรยากาศที่พักสงบ เป็นส่วนตัวและร่มรื่นมากๆ ในที่พักของเรามีบ้านหลายหลังแตกต่างกันที่ขนาดของตัวบ้าน แต่เหมือนกันด้วยบรรยากาศที่ด้านหลังเป็นทุ่งนาสีเขียวอ่อนแทรกไปด้วยคันนาสีน้ำตาลเข้ม ทอดไกลไปสุดลูกหูลูกตา แต่ช้าก่อน! อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจให้ทุ่งนาแห่งนี้เป็นนางเอกที่สวยที่สุดในสายตาของเราในตอนนี้ ขยับสายตามองไกลออกไปนิด สายตาของเราจะได้พบกับพระเอกภูเขาลูกใหญ่ที่ตั้งขนานกับแผ่นฟ้า แอบกระซิบให้ว่าบนภูเขานั้นมีชาวบ้านปลูกพืชพันธุ์ไร่ผลอยู่ด้วย
หลังจากที่เราวางกระเป๋าเดินทางที่เตรียมข้าวของมาเป็นอย่างดี ก็ไม่รอช้า รีบจับกลุ่มสมาชิกที่เพิ่งเดินทางมาถึงเหมือนกัน เหมารถสองแถวในราคาหลักพันเพื่อไปชมวิวหลักล้าน เรารีบผูกเชือกรองเท้าให้แน่น มือขวาไม่ลืมหยิบกล้องแล้วไว้ใจให้คุณลุงโชเฟอร์พาไปพบกับบรรยากาศที่สวยงามกันดีกว่า คุณลุงขับรถขึ้นเขาอย่างชำนาญเพื่อพาเราไปจุดชมวิวต่างๆ เราตื่นเต้นมากๆในช่วงแรกเพราะจุดที่เราไปยืนอยู่นั้นเป็นจุดที่สูง มองลงไปเป็นทุ่งนากว้างแสนกว้าง มีบ้านหลังเล็กๆของชาวบ้าน หลังคาสีแดงสลับกับต้นข้าวสีเขียว ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเราเหลือแค่นิดเดียวจริงๆ ถ้าจะเทียบกับภูเขา ทุ่งนาหรือแผ่นฟ้าที่อยู่ตรงหน้า ธรรมชาติดีอย่างนี้ คอยอยู่ที่เดิมรอคอยผู้เดินทางหน้าใหม่มาเยี่ยมเยือนและมาหาอยู่เสมอ เพื่อให้นักเดินทางได้เห็นความกว้างใหญ่ของโลกใบนี้เพื่อให้ได้คิดทบทวนการมีอยู่ของตัวเรา จะว่าไปแล้วเรามาเพื่อขยายความคับแคบในใจเรานี่เอง
เพลิดเพลินตื่นตาตื่นใจไปกับภูเขาต้นไม้ เส้นทางที่คดเคี้ยวของถนน ความตื่นเต้นจาก 10 ลดหลั่นมาจนถึงระดับ 5 เริ่มชินกับวิวรอบข้าง จนคุณลุงพาไปอีกจุดหนึ่งที่เป็นเนินเขา ปล่อยให้พวกเราได้ใช้เวลากับตรงนี้สักพัก ด้วยความซุกซนของวัยรุ่นตอนปลาย พวกเราจึงเดินไปด้านบนของเนินเขานี้ ระหว่างทางได้ผ่านต้นถั่วเหลืองต้นน้อยๆ ที่มีผึ้งและตัวต่อบินสลับไปมา ทำหน้าที่ดูแลนักท่องเที่ยวอย่างเรา เดินไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนหันกลับมามองวิวด้านล่าง หัวใจของเราก็กลับมาพองโตอีกครั้งด้วยความสุขเหนือระดับน้ำทะเล อ่านไม่ผิดหรอก! ความสุขของเราน่ะตอนนี้มันมากกว่าความสูงเหนือระดับน้ำทะเลแล้วล่ะ จากบรรยากาศความสวยงามและความสูงในจุดชมวิวจุดที่แล้วที่ว่ามากยังพ่ายแพ้ให้กับเนินเขาลูกนี้ ทำให้รู้ว่าแม่ลาน้อยก็สวยงามไม่น้อยเหมือนกัน
โครงการหลวง แม่ลาน้อย หมู่บ้านห้วยห้อม
สิ่งที่ประทับใจที่สุดของวันนี้ คือการที่คุณลุงพาไปโครงการหลวง แม่ลาน้อย หมู่บ้านห้วยห้อม ตั้งแต่ขับรถลงเนิน เข้าหมู่บ้านจะเห็นคุณตาคุณยายนั่งอยู่ที่หน้าบ้านพร้อมลูกเด็กเล็กแดง รถค่อยๆเคลื่อนไปตามทางเรื่อยๆ สายตาของเราให้ความสนใจไปกับสัตว์เลี้ยงต่างๆที่อยู่บริเวณใต้ถุนบ้าน เรียกได้ว่าสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกของทุกครัวเรือน คล้ายๆว่ามันรับรู้ถึงการมาเยี่ยมเยือนของเราด้วย คุณลุงโชเฟอร์ใจร้อนรีบพาเราไปชมทุ่งนาขั้นบันได จุดเด่นของที่นี่ มันช่างสวยงามกว่าภาพที่เราคิดไว้ในหัวเสียอีก ต้นข้าวสีเขียวที่กำลังจะเติบโตไปเป็นเมล็ดข้าวให้เราได้กิน ถูกปลูกอย่างเป็นระเบียบ เรียงเป็นแถวตรงในดินสีน้ำตาลอ่อน เราโชคดีที่ได้พบกับและแมลงต่างๆที่แอบมาทักทายต้นข้าวเหมือนกับเราด้วย ดีไปกว่านั้นคือการได้ชิมอาหารฝีมือชาวบ้านในราคาย่อมเยาว์ ลองคิดภาพตามว่าข้าวสวยร้อนๆ ทานคู่กับปลาทอดกะเทียม แอบตักน้ำพริกถั่วเน่าสักช้อน ตามด้วยต้มยำปลาทับทิมที่ครบเครื่องไปด้วยเครื่องแกง หรือจะรีบตักผัดฟักแม้วใส่จานตัวเองก็ไม่ว่ากัน
กินจนอิ่มแปร้แล้วตามด้วยกาแฟของดีของที่นี้ ใช้เมล็ดกาแฟสายพันธุ์เดียวกับแบรนด์กาแฟในเมืองชื่อดัง สีเขียว รสชาติกาแฟที่ละมุน ผสมผสานกับความเย็นของน้ำเเข็งกลายเป็นความสดชื่นที่ทำให้เราอยากกินสัก 2-3 แก้วเชียวแหละ หลังจากที่เราลดพื้นที่ในกระเพาะอาหารของเราแล้ว เราก็นั่งรถไปชมสวนกาแฟของชาวบ้านกันต่อ เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นเมล็ดกาแฟจริงๆก่อนที่จะนำไปคั่วบด ได้เห็นทั้งต้น ใบ ตลอดจนไปถึงการจับจองแสดงความเป็นเจ้าของของชาวบ้านในต้นกาแฟของตัวเอง
แต่เราไม่ลืมที่จะแวะทักทายกับเจ้าแกะ หนึ่งในสัตว์เลี้ยงที่ให้ขนเพื่อมาทำผืนผ้า และผลิตภัณฑ์ของโครงการหลวงแห่งนี้ ภายใต้เจ้าแกะมอมแมมที่ส่งเสียงชวนขบขันนี้แหละ เป็นที่มาของผ้าผืนสวยที่ชาวบ้านบรรจงถักทอเรียงร้อยให้ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง
….ช่วงเวลาแห่งความสุขเคลื่อนผ่านไป แบบไม่ช้าไม่เร็วจนเกินไป เราก็ต้องจากที่หนึ่งเพื่อไปพบที่ใหม่ ได้แต่บอกลาในใจ จดจำความเรียบง่าย วิถีชีวิตของชาวบ้านแล้วนำมาสร้างแรงบันดาลใจให้ดูแลรักษาธรรมชาติ ปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้ระลึกไว้เสมอซึ่งความพอดี พออยู่พอกิน เป็นหนึ่งวันที่ได้ใช้เวลาอย่างมีความหมายนับเป็นการเริ่มต้นของสิ่งดีๆในวันนี้และวันต่อๆไป
ส่ิงที่พกติดตัวไปด้วยสำหรับการออกเดินทางครั้งนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่โทรศัพท์มือถือ แต่เป็นสมุดจดบันทึกเรื่องราวระหว่างทางต่าง ที่เรายังหลงรักอะไรที่เป็นแมนนวลๆ อยู่ อุปกรณ์กล้องถ่ายรูป หมวกที่พร้อมไว้สำหรับการออกแดด เสื้อผ้าที่ใส่แล้วคล่องตัว ถูกพับเก็บลงในกระเป๋าที่มีฟังก์ชั่นเหมาะแก่การออกไปเที่ยว หลังจากเตรียมของให้พร้อม ก็เตรียมใจให้พร้อมตามเพื่อไปพบกับวิวทิวทัศน์สวยๆกัน